คำสอนหลวงปู่สู่โลกปัจจุบัน :: Dhammakaya Foundation & Wat Phra Dhammakaya : World Peace through Inner Peace using Meditation Practice  

 

คำสอนหลวงปู่สู่โลกปัจจุบัน

คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน

อย่าเสี่ยงดีกว่า

“...ถ้าเราคอยระวังรักษาไว้ให้ดี บำเพ็ญสมาธิให้ดวงขาวใสปรากฏอยู่ในศูนย์กลางกายเสมอ เราจะทำอะไรก็เป็นไปในทางดี...”

หากเปรียบเทียบอัตราเสี่ยงระหว่างการคมนาคมในรูปแบบต่างๆแล้ว การเดินทางทางอากาศนับว่าปลอดภัยและเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าการคมนาคมประเภทอื่น คือ ทุกๆหนึ่งล้านเที่ยวบินจะเกิดอุบัติเหตุเฉลี่ย 0.88 ครั้ง ซึ่งนับว่ามีอัตราเสี่ยงที่น้อยมาก ต่างจากการจราจรทางบกที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน มนุษย์เราต้องเผชิญกับความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา ถ้าใครประมาท ละเลยเรื่องราวต่างๆในการดำเนินชีวิต สักวันหนึ่งอาจจะต้องพบกับความเสียใจอย่างใหญ่หลวงสุดจะคณานับก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าประมาทในการทำสมาธิภาวนา เพราะการเดินทางในวัฏสงสารของมนุษย์มีความเสี่ยงมหาศาล วัดคร่าวๆได้ในอัตราเท่ากับ เขาโค : ขนโค ดังที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก คือ ผู้ที่จะไปสุคติภูมิมีปริมาณเปรียบเทียบกับเขาโค ผู้ที่จะไปทุคติภูมิมีปริมาณเปรียบเทียบกับขนโค

พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ห่วงใยเรา เพราะท่านทั้งรู้ทั้งเห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านจึงอยากให้ทุกคนเข้าถึงพระธรรมกาย เพื่อจะได้มีชีวิตที่ปลอดภัยทั้งในปัจจุบันชาติและในภพชาติเบื้องหน้า ท่านจึงเมตตาเตือนให้มีความเพียรในการปฏิบัติธรรมอยู่เสมอๆ

“...อุตส่าห์พยายามทำกันไปอย่าได้ดูหมิ่นดูแคลนหนา อย่าได้เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย แก่ยากแก่ลำบากแต่เล็กๆน้อยๆ เมื่อมาประสบพบพุทธศาสนา พบของจริงละเข้าถึงของจริงให้ได้ เอาของจริงใส่ไว้กับตัวไว้ให้ได้ ติดกับตัวไว้ให้ได้ อย่าดูถูกดูหมิ่นหนา...”

“...อย่าเล่นเอาอย่างเด็กๆ ถ้าเมื่อเล่นอย่างเด็กแล้วก็ เล่นหม้อข้าวหม้อแกง เล่นฝุ่นเล่นทรายอยู่ละก็ ชีวิตจะไม่พอใช้...”

“...เข้าถึงธรรมกายให้ได้...ก็จะรู้ตัวทีเดียวว่า อ้อ ! เราเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้รู้จักของจริง เห็นของจริงอย่างนี้ ไม่เสียทีที่พ่อแม่อาบน้ำป้อนข้าวมา อุ้มท้องมาไม่หนักเปล่า...”

ถ้าเราปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงดวงปฐมมรรค เข้าถึงกายต่างๆไปจนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกาย และตั้งใจปฏิบัติเรื่อยไปไม่ละทิ้งความเพียร ก็จะมีชีวิตที่ปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายในสังสารวัฏ

“...ถ้าเราคอยระวังรักษาไว้ให้ดี บำเพ็ญสมาธิให้ดวงขาวใสปรากฏอยู่ในศูนย์กลางกายเสมอ เราจะทำอะไรก็เป็นไปในทางดี พูดอะไรก็พูดไปในทางดี คิดอะไรก็คิดไปในทางดี เพราะฉะนั้น จึงควรบำเพ็ญตนให้เป็นฝ่ายขาวเสมอ เวลาจะตายถ้าปล่อยให้ตกอยู่ในฝ่ายดำเรียกว่า หลงตาย จะไปสู่ทุคติ ถ้าอยู่ในฝ่ายขาวเรียกว่า ไม่หลงตาย จะไปสู่สุคติแน่แท้ จึงเป็นการจำเป็นยิ่งที่จะระวังให้อยู่ฝ่ายขาว...”

“...เมื่อเข้าถึงธรรมกายได้ละก็นั่นแหละได้รัตนะอันประเสริฐแล้ว ...ถ้าใครอยู่กับรัตนะเช่นนี้ละก็ มีความสวัสดีเรื่อยปลอดภัยเรื่อยทีเดียว อยู่ในธรรมรัตนะ สังฆรัตนะให้ใส อยู่กับรัตนะนั่นแหละปลอดภัยทีเดียว ไม่ต้องมีภัยอีกต่อไปทีเดียว ได้รับความสุขทีเดียว ...ถ้าได้เข้าถึงพุทธรัตนะแล้วอย่าปล่อยเด็ดขาด ใจขาด ขาดไป ตาย ตายไป ใจติดอยู่กับพุทธรัตนะนั่นแหละเอาตัวรอดได้...”

ประโยชน์อื่นๆของการทำสมาธิภาวนา นอกจากเรื่องความปลอดภัย ยังมีอยู่อีกมากมาย แต่การจะเข้าถึงประโยชน์ต่างๆเหล่านั้นได้ ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล

“...ในการบำเพ็ญภาวนา ความเพียรเป็นข้อสำคัญยิ่ง ต้องทำเสมอทำเนืองๆในทุกอิริยาบถ ไม่ว่านั่ง นอน เดิน ยืน และทำเรื่อยไป อย่าหยุด อย่าละ อย่าทอดทิ้ง อย่าท้อแท้ มุ่งรุดหน้าเรื่อยไป ผลจะเกิดวันหนึ่ง ไม่ต้องสงสัย ผลเกิดอย่างไร ท่านรู้ได้ด้วยตัวของท่านเอง...”

ตัวอย่างของผลอันวิเศษของการทำสมาธิภาวนา ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่กล่าวไว้

  • สมาธิกับความสุข: “...สุขในฌานอะไรจะไปสู้ ในภพนี่ไม่มีสุขเท่าถึงดอก สุขในฌานนะ สุขลืมสมบัตินั่นแหละ สมบัติกษัตริย์ก็ไม่อยากได้ สุขในฌานนะ สุขนักหนา...”
  • สมาธิกับความฉลาด : “...ถ้าว่าทำธรรมกายเป็นละก็ มันฉลาดกว่ามนุษย์หลายสิบเท่าเชียวนะ นี่พอเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็ฉลาดกว่าเท่าหนึ่งแล้ว สูงกว่าเท่าหนึ่งแล้ว เข้าถึงกายทิพย์ก็สองเท่าแล้ว กายทิพย์ละเอียดก็สามเท่าแล้ว กายรูปพรหมสี่เท่า กายรูปพรหมละเอียดห้าเท่า กายอรูปพรหมหกเท่า กายอรูปพรหมละเอียดเจ็ดเท่า เข้าถึงกายธรรมและกายธรรมละเอียด 8 – 9 เท่า เข้าไปแล้ว มันมีความฉลาดกว่ากันอย่างนี้นะ...”

ความเสี่ยงของการเดินทางในวัฏสงสาร มีอัตราเท่ากับ เขาโค : ขนโค ก็ไม่ทราบว่า วัว 1 ตัวมีขนมากเท่าไหร่ ทราบแต่ว่า ศีรษะมนุษย์ที่มีเนื้อที่เพียงเล็กน้อยนี้ มีผมประมาณ 100,000 เส้น อัตราเสี่ยงของการเดินทางในวัฏสงสารจึงเป็นอัตราเสี่ยงที่สูงที่สุดและน่ากลัวที่สุด นี่ถ้าพระเดชพระคุณหลวงปู่ไม่ชี้ทางรอดให้ว่า “หยุดเป็นตัวสำเร็จ” ด้วยการนำใจมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด โอกาสที่แต่ละคนจะได้อยู่ในประเภทเขาโคจะมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ ?

จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)

วาจาศักดิ์สิทธิ์

“...หัดวาจาไพเราะเสียในชาตินี้ ชาติต่อๆไปวาจาของตนศักดิ์สิทธิ์...”

ในบรรดาศีล 5 ข้อ มีหลายๆคนบอกว่าศีลข้อ 4 รักษายากที่สุด และมีนักธุรกิจบางคนให้เหตุผลว่า “ในการทำธุรกิจนั้น ไม่อาจพูดความจริงได้ทั้งหมด” ที่จริงศีลข้อ 4 นั้น นอกจากงดเว้นจากการพูดเท็จแล้ว ก็ควรละเว้นการพูดคำหยาบ คำส่อเสียด และคำเพ้อเจ้ออีกด้วย จึงจะรักษาศีลข้อ 4 ได้สมบูรณ์ ในข้อห้ามทั้ง 4 ข้อนี้ การพูดเท็จหรือพูดโกหก เป็นที่รับรู้ได้ยากที่สุดในบรรดาข้อห้าม 4 ประการนี้ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายให้ทั้งผู้อื่นและตัวผู้พูดเอง (ทันตาเห็น ถ้ามีคนจับได้) โดยมีปริมาณความเสียหายตั้งแต่เล็กน้อย ปานกลาง มาก ไปจนกระทั่งมากที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า “โกหกเรื่องอะไร”

ส่วนการพูดคำหยาบ คำส่อเสียด และคำเพ้อเจ้อนั้น ก็สามารถก่อความเสียหายได้เช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด รับรู้ได้ง่าย ผู้ฟังจึงพอมีโอกาสตั้งรับได้ อานุภาพการทำลายล้างจึงอาจไม่ลึกซึ้งแนบเนียนเท่ากับการโกหกหลอกลวง อย่างไรก็ตาม การงดเว้นถ้อยคำเหล่านี้ นอกจากจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นแล้ว เรายังจะได้รับสิ่งตอบแทนที่คุ้มเกินคุ้ม คือ เราจะเป็นบุคคลที่น่ารักและได้รับการยอมรับเชื่อถือจากผู้อื่นในปัจจุบันชาตินี้เลยทีเดียว ภพชาติต่อไป เราจะมีฟันสวย ขาวสะอาด เรียบเสมอกัน กลิ่นปากหอม ไม่ถูกใส่ร้ายป้ายสี จะได้รับความจริงใจจากผู้อื่นและที่สำคัญที่สุด เราจะมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ดังที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่า

“...ถ้าใครต้องการวาจาศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ต้องพยายามห้ามวาจาทุจริตเสีย ...พวกที่พูดวาจาพล่อยๆ เอาเรื่องเอาราวไม่ได้ วาจาเหลวไหลชนิดนี้ฆ่าวาจาของตัวเอง ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง ไม่มีใครทำให้ นี้ต้องอุตส่าห์แก้ไขวาจาของตน ให้เป็นวาจาที่ไพเราะ อ่อนหวานอยู่ร่ำไป นี้เป็นประโยชน์แก่ตนด้วย เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นด้วย เป็นทั้งประโยชน์แก่กันและกัน...”

“...หัดวาจาไพเราะเสียในชาตินี้ ชาติต่อๆไปวาจาของตนศักดิ์สิทธิ์ จะพูดจะทำอะไรสำเร็จกิจหมดทุกอย่าง ถ้าใช้วาจาหยาบก็เท่ากับวาจาจอบตัวเอง ในชาตินี้ก็ดี วาจาหมดอำนาจหมดสิทธิ์ ไม่มีอำนาจอะไร พูดไปก็เท่ากับไม่ได้พูด พูดอะไรเป็นไม่สำเร็จ...”

วาจาศักดิ์สิทธิ์ คือ อะไร ?

  • วาจาศักดิ์สิทธิ์ ก็คือ วาจาที่มีอำนาจ บันดาลให้สิ่งที่กล่าวออกไปสำเร็จได้ดังประสงค์ และผู้ใดได้ฟังจะต้องทำตาม

วาจาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ จะต้องมีบุญมรองรับด้วยการบำเพ็ญกุศลทางวาจาเอาไว้ คือ รักษาศีลข้อ 4 เป็นอย่างดี โดยพูดวาจาไพเราะ อ่อนหวาน พูดคำจริงที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น และงดเว้นวจีทุจริต คือ การพูดเท็จ การพูดคำหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเพ้อเจ้อ

สำหรับบางคน อาจเป็นเรื่องยากที่จะทำได้บริสุทธิ์ครบถ้วนทุกประการ ทั้งการไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดเพ้อเจ้อ แต่ถ้าเรางดเว้นคำพูดเหล่านี้ แล้วได้วาจาศักดิ์สิทธิ์มาเป็นการตอบแทน ก็น่าจะคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม จากนี้ไป ถ้าเราคิดให้รอบคอบและถามตัวเองทุกครั้งก่อนทำผิดศีลข้อ 4 ว่า “นี่เรากำลังจะทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองอยู่หรือเปล่า” เชื่อว่าเราจะสามารถรักษาศีลข้อ 4 ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์มากขึ้น

จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)

สักวัน...เราจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

“...พญามารนั่นเองเป็นคนทำให้แก่ ให้เจ็บ ให้ตาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างยับเยิน...”

ในทางการแพทย์...

  • การเกิด หรือการมีชีวิต  เริ่มนับจากเวลาที่หัวใจทารกในครรภ์เริ่มเต้น คือ ช่วงที่แม่ตั้งครรภ์ประมาณ 4 เดือน แต่แพทย์บางคนอาจจะถือว่า การมีชีวิต หมายถึง ต้องคลอดออกมาเสียก่อน
  • การแก่ ดูได้จากการเสื่อมของอวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อแข็งแรงน้อยลง ลิ้นรับรสไม่ดี ตาฝ้าฟาง หูไม่ค่อยได้ยิน ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดีเหมือนเดิม ฯลฯ
  • การเจ็บ ดูได้จากอาการไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ที่ผิดไปจากสภาวะปกติ
  • การตาย ทางการแพทย์สรุปว่า คนตาย ก็ต่อเมื่อสมองตาย

มนุษย์เราค้นหาความลับเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มานานแสนนาน ทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์พัฒนาไปไกลมาก การชะลอความแก่ การรักษาความเจ็บป่วย และการยืดอายุด้วยวิธีการต่างๆ ถูกคิดค้นขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง แต่มนุษย์ก็ยังคงแก่ เจ็บ และตายในที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือ สู้ไม่เคยชนะ และที่สำคัญมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาจะคิดสู้ มนุษย์จึงทนทุกข์ทรมานกับความแก่ เจ็บ ตาย มานานแสนนาน แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีประกายแห่งแสงสว่างวาบขึ้นมา เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้กล่าวว่า มนุษย์เราไม่จำเป็นต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย

ทำไมท่านถึงกล่าวเช่นนี้ ?

ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ เป็นเพราะท่านรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในวิชชาธรรมกาย ท่านเข้าถึงวิชชาธรรมกายที่มีความละเอียดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน ท่านจึงสามารถเข้าไปเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้เราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ซึ่งคนทั่วไปไม่เคยเห็น สิ่งนั้นก็คือพญามาร ดังคำพูดของท่านที่ว่า “...พญามารนั่นเอง เป็นคนทำให้แก่ ให้เจ็บ ให้ตาย เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างยับเยิน... พญามารทั้งนั้น ไม่ใช่ใคร ไม่มีใครรู้ แสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล นิพพานถอดกายมีเท่าไรไม่มีใครรู้...”

เมื่อท่านค้นพบสาเหตุและรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และรู้วิธีแก้ไขแล้ว ท่านก็ใช้วิชชาธรรมกายสู้กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตลอดมา โดยไม่ได้อยู่นิ่งเฉยแม้แต่วันเดียว ด้วยหวังว่าจะช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งก็ตาม ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า

“...ใครๆไม่อาจสามารถเอาชนะความแก่ความตายนั้นด้วยการสู้รบ ด้วยเวทมนต์ ...หรือจะสู้รบด้วยทรัพย์ มีทรัพย์จะเอาทรัพย์ไปไถ่ถอนตัว แก้ความแก่ ความตาย เรื่องความแก่ความตายไม่มีทางสู้ ไม่มีทางแก้ทีเดียว

แต่ว่ามีแก้อยู่ที่วัดปากน้ำ วิชชาธรรมกายไปเห็นวิชชาเหล่านี้หมด ไปเห็นความแก่ ความตาย เวลานี้เขาว่าสมภารวัดปากน้ำกำลังสู้กับความแก่ ความตาย สู้จริงๆ ผู้เทศน์นี่แหละ 22 ปี 8 เดือนเศษแล้ว 8 เดือน 9 วัน วันนี้แล้ว วินาทีนี้มิได้หยุด เพียรสู้ความแก่ความตายไม่ได้ถอยกันเลย... จะแก้ความแก่ความตายใหม่ ไม่ให้มีเจ็บ ไม่ให้มีตาย...”

ถ้าไม่แก่ ไม่ตาย แล้วจะเป็นอย่างไรกัน ?

เรื่องนี้ท่านกล่าวว่า เมื่อเรามีอายุมากขึ้น เราจะยิ่งมีความเจริญมากขึ้น ไม่มีความเสื่อม และพอบารมีครบถ้วนสมบูรณ์ ก็จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นพระอรหันต์ เข้าสู่นิพพานได้โดยไม่ต้องตาย ดังนี้

“...ยิ่งแก่หนักเข้าก็สวยงามหนักเข้า แล้วก็โตหนักเข้าด้วย ผิดกัน (ผิดกัน หมายถึง ผิดกับปัจจุบันที่ยิ่งแก่ยิ่งเสื่อม – ผู้เขียน) โตหนักเข้าๆ สวยงามหนักเข้า โตหนักเข้า สวยงามหนักเข้า ไม่มีไขลงกัน มีแต่ไขขึ้นกันไป ไม่มีถอยกลับกัน พอครบบารมีของตนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ต้องไปทรมานให้เหนื่อยยากลำบาก...”

ขณะที่ต่อสู้กับความแก่ ความเจ็บ และความตายนั้น พระเดชพระคุณหลวงปู่มีภารกิจมากมาย เช่น ดูแลปกครองวัดใหญ่ที่มีพระภิกษุสามเณรมากที่สุดในยุคนั้น สวดมนต์ทำวัตรในอุโบสถทุกวัน ให้โอวาทพระภิกษุ สามเณร วันละ 2 เวลา วันพระและวันอาทิตย์แสดงธรรมในอุโบสถ ความคุมดูแลการทำวิชชาในโรงงานทำวิชชาทุกเวรทั้งกลางวันและกลางคืน ทุกวันพฤหัสบดีสอนการทำสมาธิที่ศาลา ในแต่ละวันท่านมีเวลานอนประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง แม้ในขณะที่สูงวัยและอาพาธ ท่านก็ยังคงควบคุมการปฏิบัติธรรมและการทำวิชชา โดยให้พระภิกษุมานั่งสมาธิปฏิบัติธรรมใกล้ๆท่านทุกวัน

แม้จะเหน็ดเหนื่อยตรากตรำเพียงใด แต่ท่านก็เร่งรบกับความแก่ความตายไม่หยุดหย่อนทุกวัน ท่านปรารถนาที่จะทำลายต้นตอของโลภะ โทสะ โมหะ และสิ่งที่เบียดเบียนมนุษย์ให้หมดสิ้นไป และเมื่อถึงวันนั้น โลกของเราจะน่าอยู่เหมือนสวรรค์ มวลมนุษยชาติจะมีแต่ความสุข ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า “...พญามารแพ้เด็ดขาดเมื่อเวลาไร เวลานั้นหมดทุกข์ในโลก เท่าปลายผมปลายขนก็ไม่มี มีความสุขเหมือนยังกับท้าวสวรรค์ หรือเหมือนกับท้าวพรหม หรือเหมือนกับพระนิพพาน สุขขนาดนั้น เป็นสุขสำราญขนาดนั้น...”

ท่านทุ่มเทชีวิตเพื่อให้มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายมีความสุข และจะเข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย และในขณะนี้การต่อสู้กับความแก่ ความเจ็บ ความตายของท่าน ก็ยังคงดำเนินต่อไปในสภาวะของสมณเทวบุตร สักวันหนึ่งเมื่อท่านได้ชัยชนะ วันนั้นมนุษย์จะมีชีวิตที่เปี่ยมสุข ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องเกิดมาเผชิญทุกข์ในสังสารวัฏอีก

พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) มีเมตตาต่อเราและมวลมนุษยชาติ และทุ่มเทให้ถึงขนาดนี้ เราได้ตอบแทนพระคุณท่านและสนับสนุนงานของท่านในทางใดทางหนึ่งอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ?

จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)

บทความที่เกี่ยวข้อง:

บทความอื่นๆในหมวดนี้