คุณยายผู้ทรงคุณธรรม :: Dhammakaya Foundation & Wat Phra Dhammakaya : World Peace through Inner Peace using Meditation Practice  

 

คุณยายผู้ทรงคุณธรรม

คุญยายผู้ทรงคุณธรรม

หลังจากที่คุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย ได้ละสังขารไปแล้ว ทุกๆ คืน ที่บริเวณหน้าเรือนทองของท่าน ณ สภาธรรมกายสากล หลังพิธีสวดพระอภิธรรมบำเพ็ญกุศลให้คุณยายเสร็จแล้ว จะมีพระอาจารย์ขึ้นแสดงธรรมเรื่องคุณธรรมของคุณยาย โดยขึ้นแสดงธรรมวันละ ๑ รูป ซึ่งแต่ละรูปท่านก็จะมีความประทับใจในคุณยาย ผู้เป็นครูบาอาจารย์ แตกต่างกันไปบ้างหรือเหมือนกันบ้าง ทำให้ผู้เขียนได้รับความรู้มากมายนำมาเป็นแบบอย่างในการฝึกฝนตนเอง โดยมีคุณยายเป็นต้นแบบได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงความโชคดีของตัวเองที่ได้มีโอกาสฟังธรรมเช่นนี้ จึงนึกปรารถนาให้ผู้อื่นได้มีโอกาสรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ และนำไปเป็นแบบอย่างในการฝึกตัวเช่นที่ตัวเองได้รับบ้าง คอลัมน์นี้จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา โดยในฉบับนี้คือ การแสดงธรรม ของ พระครูวินัยธร ไพบูลย์ ธมฺมวิปุโล

วันนี้เป็นงานบำเพ็ญกุศลภาคค่ำ เป็นวันที่ ๔ ใน ๓ วันที่ผ่านมา บางท่านคงไม่ได้มาร่วมงานบำเพ็ญกุศล มีพระอาจารย์มาแสดงธรรมเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์ มีในแง่มุมต่างๆ ซึ่งแต่ละรูปมีความประทับใจ ในครูบาอาจารย์ที่แตกต่างกันไป อาตมาขอโอกาสในเบื้องต้น ได้สรุปถึงสิ่งที่พระอาจารย์ ได้แสดงธรรมเมื่อ ๓ วันที่ผ่านมา

ในคืนวันจันทร์ พระอาจารย์วิษณุ ปัญญาทีโป ได้กล่าวถึง กุศโลบายในการฝึกคนของคุณยายอาจารย์ โดยมีสาระสำคัญ ๓ เรื่อง คือ

เรื่องแรก คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตนของคุณยายอาจารย์

พวกเราที่มาทันคุณยายอาจารย์ เมื่อครั้งที่ท่านยังแข็งแรงอยู่ก็จะทราบว่า แม้ท่านมีคุณธรรมสูง เป็นครูบาอาจารย์ของเรา แต่เห็นใครเข้ามาวัด ท่านจะยกมือไหว้ก่อน เหตุผลประการหนึ่งที่ให้กับลูกศิษย์ไว้คือ คนที่มาวัดครั้งแรก เห็นคุณยายก็ไม่รู้เป็นใคร กลัวเขาจะได้บาปที่นึกไม่ดีกับคุณยาย ท่านก็ไหว้เขาก่อน พอคุณยายไหว้เขาก่อน การสร้างความรู้สึกคุ้นเคยก็เกิดขึ้นได้ง่าย เขามาวัดใหม่ได้รับการต้อนรับอย่างดี ก็ไม่รู้สึกเคอะเขิน แล้วครั้งต่อไปที่มาวัด เมื่อรู้จักว่าคุณยายเป็นใคร ทุกคนก็จะตั้งสติให้ดี ถ้าเห็นคุณยายทุกคนจะรีบไหว้ก่อน เพราะเกรงว่าคุณยายจะไหว้ก่อน ประเพณีการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน จึงเกิดขึ้นเป็นประเพณีของวัดพระธรรมกายมาถึงปัจจุบัน

เรื่องที่สอง คือ ความสะอาด

คุณยายท่านสอนอุบาสกทุกคนก่อนบวช โดยเฉพาะถึงกับเป็นประเพณีและคุณสมบัติที่เรารู้กันว่า อุบาสกคนใดที่มาอยู่วัดพระธรรมกาย ถ้ายังขัดห้องน้ำไม่เป็น ขัดสุขพิมานไม่สะอาด ก็ยังไม่มีการเสนอชื่อให้บวช

เรื่องที่สาม คือ ระเบียบวินัย

ระเบียบวินัยที่คุณยายอาจารย์มองการณ์ไกล และได้ตั้งระเบียบวินัยเป็นการป้องกันการกระทบกระทั่ง และเป็นแนวปฏิบัติเพื่อรองรับการขยายของหมู่คณะ ไว้ ๑๐ ข้อ ในวัด ซึ่งสลักไว้ที่ผนังคอนกรีตที่อาคารดาวดึงส์

นี่เป็นวันแรกของภาพรวมที่พระอาจารย์ท่านประทับใจในส่วนที่ท่านเห็นคุณธรรมของคุณยายอาจารย์

คืนที่สอง วันอังคาร พระอาจารย์ปลัดสุธรรม สุธัมโม ได้กล่าวถึงการบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุดของชีวิต โดยเฉพาะคุณยายอาจารย์ของเรา ท่านเล่าประวัติของท่านก่อนที่จะมาพบคุณยายอาจารย์ และสิ่งที่ประทับใจมาก คือท่านได้มาพบคุณยายอาจารย์แล้ว ไม่ได้ปริปากพูดถึงประวัติของท่านเลย แต่คุณยายก็สามารถพูดประวัติของท่านได้ ท่านมีศรัทธาที่ตั้งใจจะมาช่วยงานพระพุทธศาสนา ช่วยงานหมู่คณะ และก็สามารถเข้ามาร่วมสร้างบารมีกับหมู่คณะได้ นี่คือจุดที่ท่านได้เล่าเอาไว้

ประการสุดท้าย สิ่งที่ท่านเล่าเอาไว้คือสิ่งที่คุณยายท่านไม่ชอบมาก ๒ เรื่อง คือ

  • ประการที่ ๑ การประพฤติพรหมจรรย์ไม่บริสุทธิ์ ในการอยู่รวมกัน
  • ประการที่ ๒ เมื่อเรียนธรรมะแล้ว ใครเอาไปทำเลอะๆ เทอะๆ คุณยายอาจารย์ไม่ชอบมาก

มาถึงเมื่อวานนี้ พระอาจารย์ณรงค์ ทันตจิตโต ได้เปรียบเทียบคุณยายกับพระเจดีย์ เอาไว้ ๕ ประการ

  • ประการแรก พระเจดีย์นั้นอยู่ใกล้ อยู่ไกลก็เห็น ท่านเปรียบกับคุณยายว่า ไม่ว่ากัลยาณมิตรจะอยู่ใกล้หรือไกลคุณยาย ก็ได้คุณยายเป็นที่พึ่ง
  • ประการที่ ๒ พระเจดีย์นั้นมีความมั่นคง เสมือนดังจิตใจของคุณยายอาจารย์ของเราที่มีความหนักแน่นมั่นคง
  • ประการที่ ๓ พระเจดีย์นั้นเป็นสิ่งที่ควรเคารพบูชา ประดุจดังคุณธรรมของคุณยายอาจารย์ของเรา ที่ถึงพร้อมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
  • ประการที่ ๔ พระเจดีย์บางองค์ในอดีต จำลองเอาจักรวาลมาไว้ในรูปทรงของพระเจดีย์ คุณยายอาจารย์ของเราก็เหมือนกัน ท่านเก็บเอาความรู้ของจักรวาลเอาไว้ในกายของท่าน
  • ประการที่ ๕ พระเจดีย์บรรจุสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไว้ภายใน ทั้งพระบรมสารีริกธาตุ พระธรรม เช่นเดียวกับคุณยายอาจารย์ ตั้งแต่บรรลุธรรมได้ทำวิชชากับพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กายของท่านก็บรรจุเอาพระรัตนตรัย บรรจุเอาพระธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน นี่คือสิ่งที่พระอาจารย์ได้มีความประทับใจ ได้ขยายเรื่องต่างๆ ที่ท่านได้ไตร่ตรองคุณของคุณยายอาจารย์เทียบกับพระเจดีย์

วันนี้อาตมามีสิ่งที่ประทับใจโดยสรุปอยู่ ๒ อย่างที่จะกล่าวถึง ซึ่งเป็น ๒ อย่างที่ทำให้อาตมาประคับประคองตัวเอง และรักที่จะอยู่กับหมู่คณะ มาได้ถึงวันนี้

สองประการนั้น คือ ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของคุณยายอาจารย์ และความโชคดีของเราที่ได้เป็นลูกหลานอยู่ในวงบุญของคุณยายอาจารย์

ในวัฏฏสงสารอันยาวไกล การเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ในแต่ละกัปนั้นจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็ไม่เกิน ๕ พระองค์ ซึ่งในกัปนี้ถือว่าเป็นกัปที่เจริญที่สุด มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้ว ๔ พระองค์ ที่พึ่งผ่านเราไปเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี เป็นพระองค์ที่ ๔ คือ พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

มีคำกล่าวเอาไว้ พระไตรปิฎก อรรถกถา ส่งเสริมคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร ซึ่งเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งเอาไว้ให้เป็นผู้เลิศด้วยปัญญา เปรียบเสมือนพระธรรมเสนาบดี สถานที่ใดที่พระสารีบุตรเดินทางไปแสดงธรรม ก็เหมือนที่พระองค์เสด็จไป

ถึงแม้ว่าพระสารีบุตรจะมีปัญญามาก เมื่อพระสารีบุตรกล่าวสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น ท่านอุปมาไว้ว่า เหมือนแม่น้ำแห่งหนึ่ง มีน้ำท่วมล้น มีปริมาณมาก กว้างถึง ๑๘โยชน์ ( ๑โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร) มีบุรุษคนหนึ่งเอาก้นเข็ม จุ่มลงไปในน้ำเพื่อที่จะตักน้ำนั้นขึ้นมา น้ำที่ติดรูเข็มขึ้นมานั้นมีส่วนน้อย แต่น้ำที่ไหลท่วมล้นไปมีปริมาณมากฉันใด พระพุทธคุณที่พระสารีบุตรสามารถที่จะนำมากล่าวมาสรรเสริญตามที่ท่านได้รู้ได้เห็น ก็มีปริมาณเพียงน้ำที่ติดรูก้นเข็มฉันนั้น

บุคคลใดบุคคลหนึ่ง เอามือจับฝุ่นนั้นขึ้นมา ฝุ่นนั้นมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับฝุ่นในแผ่นดินฉันใด พระพุทธคุณที่พระสารีบุตรสามารถรู้เห็น และนำมาสรรเสริญได้ ก็เป็นเพียงฝุ่นในกำมือเท่านั้น

นิ้วที่ชี้ไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ นิ้วที่ชี้ไปในนภากาศ ตรงไหนที่นิ้วชี้ไปถึงน้ำในมหาสมุทร ถึงอากาศในนภากาศ ส่วนที่นิ้วชี้ถูกเมื่อเทียบกับส่วนที่นิ้วชี้ไม่ถูกแล้ว ส่วนที่นิ้วชี้ถูกนั้น มีปริมาณเพียงน้อยนิด ฉันใด พระพุทธคุณที่พระสารีบุตรรู้เห็นนั้นมีเพียงปริมาณน้อยนิดฉันนั้น

แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง จะตรัสสรรเสริญพรรณนาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ตลอดระยะเวลาอันยาวนานเป็นกัป กัปนั้นล่วงไปแล้ว หมดไปแล้ว แต่พระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่จบสิ้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ปรารถนาพระโพธิญาณ จะต้องบำเพ็ญบารมีอย่างยาวนานทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็ ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาในใจ ๗ อสงไขย สร้างบารมีแล้วเปล่งวาจาตั้งความปรารถนาให้มหาชนได้ทราบอีก ๙ อสงไขย หลังจากที่ได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนแล้ว อีก ๔ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงต้องอาศัยความเพียรอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน พระองค์จะต้องสละทรัพย์ อวัยวะ ชีวิตเพื่อแลกเอาการบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ มีทานบารมีเป็นต้น และความปรารถนาที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายไปสู่พระนิพพานนั้น จะต้องไม่เลือนลางไปจากหัวใจของท่าน ตั้งแต่วันแรกที่ตั้งความปรารถนา จนกระทั่งเมื่อพระองค์บรรลุพระโพธิญาณ

แต่หากจะมีใครสักคนหนึ่งมีหัวใจเยี่ยงพระโพธิสัตว์ มีความปรารถนาที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล เข้าสู่พระนิพพานให้หมดสิ้นไม่มีเหลือเลย แม้มโนรถของบุคคลนั้นจะยังไม่สำเร็จลุล่วง เราควรจะตั้งท่านนั้นไว้ในฐานะใด ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลนี้ จะมีสักกี่คนที่ตั้งความปรารถนาที่จะปราบพญามารให้หมดสิ้น

หนึ่งในบุคคลนั้นอันหาได้ยากยิ่ง ท่านประดิษฐานอยู่ในเรือนทองข้างหน้าของพวกเราทั้งหลาย ร่างๆ เล็กของคุณยายที่เก็บดวงใจอันยิ่งใหญ่ไว้นี้ เป็นเสมือนเมล็ดโพธิ์ เมล็ดเล็กๆ แต่ได้เก็บความยิ่งใหญ่ไว้ภายใน

ทำอย่างไร เราจึงจะได้ติดตามสร้างบารมี อยู่ในวงบุญของท่านไปทุกภพทุกชาติ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเหตุเกิดความรักและความผูกพันไว้ ๒ ประการ

  • เหตุให้เกิดความรักประการแรก คือ ความเป็นผู้คุ้นเคยกันมาในอดีต เคยอยู่ร่วมกันมา เคยสร้างความดี สร้างบุญร่วมกันมา
  • ประการที่ ๒ เคยเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ก็เป็นเหตุให้เกิดความรักและความผูกพันกันได้

ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จบิณฑบาต พราหมณ์เฒ่าผู้หนึ่งได้เข้ามากอดพระบาทของพระองค์ แล้วกล่าวว่า ลูกไปไหนมา ๆ เรียกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นลูก พระอานนท์และประชาชนทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์อยู่ ต่างก็ทราบว่าพระพุทธบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองอยู่เมืองกบิลพัสดุ์ ไม่ใช่พราหมณ์เฒ่าผู้นี้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นเลิศ ก็เสด็จตามคำอาราธนาของพราหมณ์ไปที่บ้าน เมื่อไปถึงบ้านแล้วพราหมณ์เรียกนางพราหมณีออกมาพบลูกของตัวเอง นางพราหมณีเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ร้องไห้ด้วยความปีติ แล้วก็กล่าวว่า ลูกไปไหนมา ทำไมไม่มาดูพ่อกับแม่ที่ชราภาพมากแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์ทั้งสอง จบพระธรรมเทศนา ทั้งสองก็ได้บรรลุธรรมเป็นอนาคามีบุคคล แล้วท่านก็ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายผู้สงสัยว่าพราหมณ์นั้นเรียกพระองค์ว่าเป็นบุตรได้อย่างไร

พราหมณ์ทั้ง ๒ นี้ เคยเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ของพระองค์มาถึง ๕๐๐ ชาติ เคยเกิดเป็นอาเป็นน้า ๕๐๐ ชาติ เคยเกิดเป็นปู่ย่าของพระองค์ในอดีตถึง ๕๐๐ ชาติ พระองค์ตรัสว่า เราเจริญเติบโตของพราหมณ์ทั้ง ๒ นี้ ตลอด ๑,๕๐๐ ชาติ ติดต่อเนื่องกันไม่ขาดเลย ความรัก ความผูกพัน ความคุ้นเคย จึงทำให้พราหมณ์ทั้ง ๒ เรียกพระองค์ว่าเป็นบุตร

ท่านทั้งหลาย พวกเราทั้งหลาย มีโชคอันมหาศาลที่มีโอกาสมาสร้างบุญร่วมกับคุณยายอาจารย์ ตั้งแต่ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว) เคยเล่าให้ฟังว่า คุณยายเคยสอนเอาไว้ว่า ถ้ารักใครแล้วให้ชวนเขามาทำบุญ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ ลุงป้าน้าอา เพื่อนสนิทมิตรสหาย ก็ขอให้ชวนเขามาทำบุญร่วมกัน ถ้าเราไม่ชวนเขามาทำบุญร่วมกัน ก็ไม่มีบุญที่จะผูกพันกันต่อไป ก็จะเริ่มห่างกันไปเรื่อย ๆ จากคืบเป็นศอก จากศอกเป็นวา จากวาเป็นโยชน์ แล้วก็ห่างกันไปเรื่อยๆ

จึงเป็นโอกาสดีของพวกเราทั้งหลาย ที่มาร่วมบุญกับคุณยาย จะขอเล่าเรื่องของบุคคลที่น่าเสียดาย ที่ไม่ได้มีโชคอย่างพวกเรา

เรื่องแรกเป็นเรื่องของ กาฬเทวิลดาบส

ครั้นเมื่อพระบรมโพธสัตว์จุติเข้าสู่พระครรภ์ของพระพุทธมารดา เมื่อท่านประสูติจากพระครรภ์ ในครั้งนั้นกาฬเทวิลดาบสเป็นนักบวชประจำตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นที่เคารพเลื่อมใสของพระเจ้าสุทโธทนะและชาวเมือง

กาฬเทวิลดาบสนี้ได้สมาบัติ ๘ ทรงอภิญญา หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ท่านชอบไปพักที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้งหนึ่งท่านเห็นเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลาย สนุกสนานร่าเริงยินดีเป็นพิเศษ ท่านก็เข้าไปถามว่าเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลายร่าเริงยินดีด้วยเหตุอะไร เทพบุตรและเทพธิดาก็กล่าวตอบว่า ขณะนี้พระบรมโพธิสัตว์ประสูติออกจากพระครรภ์ของพระพุทธมารดาแล้ว จะได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอีกไม่นานแล้ว ดีใจเหลือเกิน เมื่อฟังธรรมแล้วก็จะทราบถึงทางแห่งความหลุดพ้น

เมื่อกาฬเทวิลดาบสได้ทราบดังนั้น ก็เหาะลงมาเข้าไปสู่พระราชวัง หวังจะได้เห็นพระบรมโพธิสัตว์ พระเจ้าสุทโธทนะทรงจัดอาสนะให้กาฬเทวิลดาบส แล้วก็นำพระบรมโพธิสัตว์มา เพื่อปรารถนาจะให้พระบรมโพธิสัตว์นั้นมาไหว้พระดาบส เมื่อพาพระบรมโพธิสัตว์มาถึงพระดาบส แทนที่พระบรมโพธิสัตว์จะไหว้ พระบาททั้งสองของพระโพธิสัตว์กลับขึ้นไปประดิษฐานบนชฎาของพระดาบส พระดาบสเห็นเหตุการณ์นั้น ก็ระลึกชาติไป ทราบว่ากุมารนี้คือพระบรมโพธิสัตว์ แล้วก็ระลึกถึงอนาคต ก็เห็นว่าพระบรมโพธิสัตว์นี้จะได้ตรัสรู้ธรรมอายุเมื่อ ๓๕ ปี จึงแย้มยิ้มด้วยความดีใจ

แล้วระลึกชาติต่อไปดูตัวเองว่าจะได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาหรือไม่ ก็ทราบว่าตัวเองจะถึงกาละ คือ ตายเสียก่อนแล้วไปเกิดในพรหมโลกชั้นอรูปพรหม ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ไปแสดงธรรมโปรด ท่านก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจที่ท่านจะไม่ได้ทราบหนทางแห่งความหลุดพ้น

พระเจ้าสุทโธทนะรวมทั้งมหาอำมาตย์ทั้งหลาย เห็นพระดาบสหัวเราะแล้วร้องไห้ เกิดความแปลกใจ จึงถามพระดาบส ท่านก็บอกว่าที่ท่านแย้มยิ้มครั้งแรกนั้น เป็นเพราะเห็นพระบรมโพธิสัตว์นี้ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปีติยินดี และที่ร้องไห้เพราะชีวิตของท่านไม่ทันได้ฟังธรรม มัจจุมารมาพรากไปเสียก่อน

แม้บุคคลที่ฝึกตัวมามากแต่ไม่รู้หนทางอันประเสริฐ ที่จะไปสู่ความหลุดพ้น ก็เป็นที่น่าเสียดาย

เรื่องที่สอง

ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จบิณฑบาตที่กรุงราชคฤห์ ทรงเห็นนางลูกสุกรตัวหนึ่ง ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เดินตามอยู่ก็สงสัย จึงทูลถามพระองค์ถึงเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า อานนท์ เธอเห็นลูกสุกรนั้นไหม อดีตลูกสุกรนี้เคยเกิดเป็นแม่ไก่ อยู่ในที่ใกล้ของพระภิกษุ ได้ฟังการสาธยายธรรมจากพระภิกษุรูปหนึ่ง เกิดจิตที่เลื่อมใส จุติจากแม่ไก่แล้วไปเกิดเป็นพระราชธิดาในตระกูลกษัตริย์ พระราชธิดาเมื่อเจริญวัยแล้วเห็นหนอน ที่อยู่ในห้องสุขา พระราชธิดาเอาหนอนนั้นเป็นอารมณ์ทำกรรมฐาน เมื่อได้บรรลุปฐมฌาน รักษาธรรมะที่ได้บรรลุนั้นจนสิ้นอายุขัย เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วพระราชธิดาไปเกิดในพรหมโลก แต่เนื่องจากความสับสนแห่งคติ เมื่อสิ้นจากพรหมโลกแล้วมาบังเกิดเป็นนางลูกสุกรตัวนี้

เรื่องที่สามเป็นเรื่องสุดท้าย ในสมัยพุทธกาลมีเศรษฐีอยู่ ๒ ตระกูล มีสมบัติมาก ตระกูลหนึ่งมีลูกชาย อีกตระกูลหนึ่งมีลูกสาว ทั้งสองตระกูลนี้มีทรัพย์ใกล้เคียงกัน คือ ๘๐ โกฏิ ปัจจุบันก็ประมาณ ๘๐๐ ล้าน

เมื่อลูกเจริญวัย พ่อแม่มีความเห็นว่า ทรัพย์ที่มีอยู่ในบ้านมีมากพอที่จะให้ลูกใช้จ่ายได้ตลอดชีวิต โดยไม่ต้องทำมาหากินเลย จึงไม่ให้ลูกศึกษาศิลปวิทยาใดๆ ที่เป็นประโยชน์เพื่อการประกอบอาชีพ เมื่อทั้งสองเจริญวัยแล้วก็ได้แต่งงานกัน

ต่อมาพ่อแม่ทั้ง ๒ ตระกูลก็ตายลง สมบัติ ๑,๖๐๐ ล้านจึงตกเป็นของลูกทั้งสองนั้น บุตรเศรษฐีมีกิจต้องไปเข้าเฝ้าพระราชาทุกวัน ในระหว่างทางพวกขี้เมาเห็นบุตรเศรษฐีแล้วปรารถนาจะได้ทรัพย์นั้น จึงเข้าไปตีสนิทสร้างความคุ้นเคย ในที่สุดก็สามารถชักชวนบุตรเศรษฐีมาร่วมในวงสุราได้ เศรษฐีและภรรยาใช้ทรัพย์ที่เป็นมรดกของพ่อแม่ จนกระทั่งทรัพย์นั้นค่อยๆ หมดไป ๆๆ จนต้องขายบ้านตัวเอง และในที่สุดก็ถูกขับออกจากบ้านมาเป็นขอทาน อาศัยเศษอาหารอยู่ตามฝาเรือน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาต เห็นขอทานทั้งสองจึงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ก็ทูลถามเหตุนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าถึงเหตุทั้งหมดแล้วแล้วตรัสว่า หากเศรษฐีและภรรยานี้ ตั้งใจประกอบกิจการงาน ตั้งแต่อยู่ในปฐมวัย จะได้เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมือง หากออกบวชตั้งแต่ปฐมวัย เศรษฐีนี้จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ส่วนภรรยาจะได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี

ถ้าเศรษฐีและภรรยาตั้งใจทำมาหากิน เลี้ยงชีพ แสวงหาทรัพย์ เมื่ออยู่ใน มัฌชิมวัย (วัยกลางคน ) จะได้เป็นเศรษฐีอันดับ ๒ ของเมือง ถ้าออกบวชในวัยกลางคน เศรษฐีจะบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี ส่วนภรรยาจะได้บรรลุธรรมเป็นสกิทาคามี

ถ้าเศรษฐีและภรรยาตั้งใจทำมาหากินประกอบสัมมาอาชีวะ ในปัจฉิมวัย จะได้เป็นเศรษฐีอันดับ ๓ ของเมือง ถ้าออกบวชในบั้นปลาย จะได้บรรลุธรรมเป็นพระสกิทาคามี ส่วนภรรยาจะได้เป็นพระโสดาบัน

แต่มาบัดนี้ทั้ง ๒ พรากจากโลกียทรัพย์ และอริยทรัพย์ เพราะไม่ได้บูชาบุคคลที่ควรบูชา ไม่ได้คบบัณฑิต ไปคบกับคนพาล

อีกเรื่องหนึ่งที่เล่าสืบต่อกันมา เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ มาพบคุณยายใหม่ ๆ ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท่านยังไม่ได้บวช ท่านเคยฝัน ฝันว่าเห็นบ้านทรงไทยหลังหนึ่ง ท่านขึ้นไปบนบ้าน เห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ที่ด้านหน้าพระพุทธรูปนั้นมีถาดเงินใบหนึ่งวางอยู่ พระพุทธรูปท่านก็บอกว่า ให้ไปเปิดหน้าต่างออก ในฝันท่านก็เดินไปเปิดหน้าต่าง ทันทีที่เปิดหน้าต่าง ดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า ก็ตกลงมาเป็นสาย เข้ามาทางหน้าต่าง แล้วลงมาที่ถาดเงินนั้น แต่มีบางส่วนที่พลัดไปตกที่คูน้ำข้างบ้าน ท่านนำความฝันนี้มาเล่าให้คุณยายฟัง คุณยายท่านก็ทำนายฝันเอาไว้ว่า อีกหน่อยคุณจะได้บวช จะมีผู้มีบุญบารมีแก่ๆ ทั้งหลายมาร่วมสร้างบุญบารมีกับคุณ ดวงดาวที่ตกลงมาในถาดก็คือผู้ที่มีบุญที่มาถึงคุณ มาร่วมสร้างบารมีกับคุณ แต่บางส่วนเขาก็มาไม่ถึง

เป็นความโชคดีของพวกเราทั้งหลายที่ได้มาถึง ร่วมสร้างบารมีกับคุณยาย และพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ พระคุณของคุณยายที่อาตมาประทับใจ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้เคยกล่าวไว้เป็นประโยคสั้น ๆ แต่ได้ใจความมากมาย คือ ถ้าไม่มีคุณยาย ก็ไม่มีวัดพระธรรมกาย ๓๐ ปีที่ผ่านมา อยากให้ทุกท่าน ได้หยุดพินิจพิจารณาว่า หาก ๓๐ ปีที่ผ่านมาไม่มีวัดพระธรรมกาย ขณะนี้เราอยู่ ณ จุดใด ในการแสวงหาประโยชน์อันสูงสุดของชีวิต

กำลังแสวงหาในชาตินี้ คือ ตั้งเนื้อตั้งตัวให้ได้ กำลังแสวงหาประโยชน์ในชาติหน้า คือ สั่งสมบุญบารมีเพื่อไปสู่สุคติ หรือ กำลังแสวงหาประโยชน์อย่างยิ่ง คือแสวงหาหนทางพระนิพพาน หรือจะปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามกระแสโลก เกิดมาทำมาหากิน มีครอบครัว เลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน แล้วก็จากโลกนี้ไป

แต่วันนี้เดี๋ยวนี้ พวกเราทั้งหลาย เป็นลูกหลานยาย อยู่ในวงบุญสร้างบารมีร่วมกับคุณยายอาจารย์ นี้เป็นสิ่งที่อาตมาประทับใจ และเป็นสิ่งที่ประคับประคองตัวเองมาได้จนถึงปัจจุบันด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ความโชคดีของเราที่มีครูที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่อย่างนี้ และเป็นโชคดีของเราที่ได้มาเป็นลูกหลานของคุณยาย